สมัยรัชกาลที่ ๕ ขุนพิทักษ์บริหาร (พึ่ง มิลินทวนิช) เป็นนายแขวงเสนาใหญ่ คือ อำเภอผักไห่ในปัจจุบัน (เคยเข้ารับใช้พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ด้วย) ภรรยา คือ นางจ่าง มิลินทวนิช ขุนพิทักษ์ฯ เป็นเจ้าของกิจการเรือสองชั้นที่เรียกว่าเรือเขียว ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ (มีจำนวน 10 กว่าลำ) รับส่งผู้โดยสารระหว่างผักไห่-ท่าเตียน กรุงเทพฯ และผักไห่-ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ จึงทำให้การค้าขายบริเวณนี้ เจริญรุ่งเรือง (เมื่อมีการทำประตูทดน้ำในแม่น้ำเรือจึงไม่สามารถแล่นได้ ประกอบกับถนนหนทางเจริญขึ้นกิจการเดินเรือจึงเลิกไป) ตระกูลขุนพิทักษ์ฯ เป็นตระกูลใหญ่ ขุนพิทักษ์ฯมีบุตรทั้งหมด ๖ คน มีหลานอีกหลายคน บุตรคนโต คือ นางทองคำ มิลินทวนิช (นางทองคำมีบุตร ๓ คน) บุตรคนที่ ๒ คือ นางบุญมี บุตรคนที่ ๓ คือ นายโกย คนที่ ๔ คือหลวงมิลินทวนิช คนที่ ๕ นางวงศ์ ซึ่งเป็นภรรยาของหลวงพร้อมธีระพันธ์ ผู้บังคับการเรือหลวงธนบุรีเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง และคนที่ ๖ นางยูร คุณยายสมพร มิลินทวนิช อายุ ๗๘ ปี และคุณยายอุดมวรรณ มิลินทวนิชอายุ ๘๐ ปี สองพี่น้องซึ่งเป็นหลานสาว(หลานตา)ของขุนพิทักษ์ฯ แต่ใช้นามสกุลของตา (เป็นบุตรนายเติมกับนางทองคำโดยนางทองคำเป็นลูกสาวคนโตของขุนพิทักษ์) ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ ๕๖๓ ซอยลาดพร้าว ๑๓๐ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ เล่าว่าขุนพิทักษ์ฯเกิดที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา ส่วนภรรยา (นางจ่าง)เป็นคนอำเภอผักไห่ สมัยตนเป็นเด็กบ้านของตนเป็นแพอยู่ริมน้ำหน้าบ้านขุนพิทักษ์ฯ ตนผูกพันกับบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เด็ก วิ่งขึ้นลงคลุกคลีกับคนในบ้านมาตลอด หลังจากยกให้หลวงแล้วตนกลับมาดูบ้านหลังนี้ทุกปี เนื่องจากมีที่นาและญาติพี่น้องอยู่ที่อยุธยา แต่หลายปีหลังนี่ไม่ได้มา บ้านของขุนพิทักษ์บริหารเป็นบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ ๕ อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี สถาปัตยกรรมเป็นบ้านไทยที่ได้รับอิทธิพลทางตะวันตก ซึ่งน่าสนใจมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย (ด้านหลังติดกับถนนในหมู่บ้าน ) หมู่ที่ ๒ ตำบลอมฤต อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (เดินทางจากตัวอำเภอผักไห่ไปทางทิศเหนือตามถนนลาดยาง เพียง ๓ กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าไปในบริเวณวัดอมฤต แล้วเลี้ยวซ้ายผ่านโรงสีเข้าไป) บริเวณที่ตั้งมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑ ไร่ ๗๒ ตารางวา ด้านหลังบ้านที่ติดกับถนนปักป้ายประกาศว่าเป็นที่ดินราชพัสดุของ กรมธนารักษ์ ลักษณะบ้านเป็นบ้านทรงปั้นหยาสองชั้นยกพื้นสูง ปลูกสร้างด้วยไม้สัก (บางส่วนเป็นตึก) ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “บ้านเขียว” (เพราะเดิมทาสีเขียวเนื่องจากขุนพิทักษ์เกิดวันพุธ) หลังคามุงกระเบื้องสีน้ำตาลเข้มสภาพภายใน ยังแข็งแรงแต่สภาพภายนอกทรุดโทรม ประตูหน้าต่างมีลวดลายแกะสลักอย่างประณีตบรรจง พื้นเป็นกระดานไม้สักแผ่นใหญ่ ชั้นล่างมีห้องโถงใหญ่ ๑ ห้อง (มีตู้ไม้สัก ๓ หลัง) ห้องเล็ก ๒ ห้อง (ในห้องเล็กใกล้ระเบียงหลังบ้าน มีตู้เหล็กนิรภัย สูงถึง ๑ เมตร ปิดล็อคไว้) และห้องใต้บันไดอีก ๑ ห้อง ส่วนชั้นบนมีห้องโถง ๑ ห้อง ห้องเล็ก ๓ ห้อง และห้องซอยด้านหลังอีก ๑ ห้อง ในห้องเล็กที่ใกล้กับทางลงมีห้องแยกออกไปอีก เป็นห้องที่ใช้ประตูเดียวกับห้องแรก ภายในห้องแยกมีห่วงเหล็กเส้นผ่าศูนย์กลางเหล็ก ๑ นิ้วตรึงอยู่กับพื้นมุมห้อง ใช้สำหรับล็อกโซ่ล่ามกำปั่นสมบัติ หน้าต่างและประตูใช้กลอนไม้แบบโบราณ ด้านหน้ามีสะพานไม้เชื่อมไปที่ศาลาใหญ่ริมแม่น้ำ และเรือนพักคนรับใช้หลังเล็ก (นายฟื้น ผู้ดูแลบ้านคนสุดท้ายมีอาชีพทำขนมจีนขาย ได้เสียชีวิตที่เรือนหลังเล็กนี้ หลังจากนายฟื้นเสียชีวิต นางวาสน์ซึ่งเป็นภรรยานายฟื้นและเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ได้ย้ายไปอยู่บ้านพักคนชรา และไม่มีใครพบอีกเลย ส่วนเรือนหลังใหญ่ไม่ปรากฏว่า เคยมีผู้เสียชีวิตในเรือน แม้แต่ขุนพิทักษ์ฯเมื่อชราภาพใกล้สิ้นอายุขัย ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯระยะหนึ่ง จึงเดินทางกลับบ้านทางเรือ และสิ้นชีวิตในเรือระหว่างเดินทาง) หลังจากขุนพิทักษ์ฯสิ้นชีวิตแล้ว ลูกหลานย้ายไปอยู่ภูมิลำเนาอื่น ส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ แม่จ่างภรรยาท่านขุนจึงได้ยกบ้านให้หลวง เป็นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ โดยกระทรวงมหาดไทย ได้มอบเข็มชั้นเครื่องหมายทองประดับเพชรให้กับนางจ่างด้วย

ข้อมูลจาก http://phakhai.ayutthaya.police.go.th/about-phakhai/phakhai-green-home/

ภาพถ่ายทั้งหมดเป็นภาพที่ผมถ่ายไว้เมื่อ วันที่ 13 เมษายน 2560 ถ้านำไปใช้รบกวนฝากเคดิตด้วยครับ